• 12 April 2021 at 16:01

     "KBank Private Banking" (เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง) ชี้โอกาสครั้งสำคัญกับการลงทุนในหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี พร้อมๆ กับที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลก ผ่านกองทุน K-CHANGE ที่เน้นลงทุนใน กว่า 30 บริษัททั่วโลกที่มีการดำเนินธุรกิจที่สร้างผลเชิงบวกต่อสังคมและช่วยให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ การศึกษา คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม สังคม และนี่คือมุมมองต่อเทรนด์ Positive Impact Investing รวมทั้งกลยุทธ์ในการเลือกบริษัทที่จะคัดสรรการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

     ชาญณรงค์ กิตินารถอินทราณี Director, Assistant Head of Financial Advisory, Private Banking Group, ธนาคารกสิกรไทย เผยว่า หลังจากเริ่มมีการทะยอยฉีควัคซีนทั่วโลก จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันโดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรปก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดี และนั่นก็ได้ส่งกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดทั่วโลกผันผวน อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์ด้านความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน การเปลี่ยนไปใช้การชำระเงินแบบดิจิทัล หรือการดูแลรักษาสุขภาพ ที่เป็นเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปอีกในระยะยาว

     Baillie Gifford ผู้จัดการกองทุนหลักของกองทุน K-CHANGE ก็ยังคงเฟ้นหาอุตสาหกรรมที่จะเข้ามาแทนที่อุตสาหกรรมแบบเดิมๆ พร้อมทั้งแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือความไม่เท่าเทียมกันอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม Baillie Gifford ก็ยังมีมุมมองต่อหุ้นรายตัวที่อาจจะให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกันไป โดยไม่ไปแตะต้องธีมหลักอย่าง Positive Impact Investment เพราะเชื่อมั่นว่าแม้เศรษฐกิจจะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติหลังจากวิกฤตโควิด 19 ผ่านพ้นไป บริษัทเหล่านี้ก็ยังสามารถที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็น

     บริษัทที่มุ่งเน้นเรื่องสุขภาพ ที่สร้างระบบการดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพและสามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง อาทิ

     • Dexcom – บริษัทผู้ผลิตระบบตรวจระดับน้ำตาลแบบต่อเนื่องสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข

     • Pin An Insurance – บริษัทประกันสุขภาพที่ส่งเสริมพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ โดยเสนอการลดเบี้ยประกันและให้บัตรกำนัลร้านกาแฟเป็นรางวัล 

     • M3 – บริษัทปรับปรุงระบบการดูแลสุขภาพให้เข้าถึงง่ายขึ้น

รวมถึง บริษัทที่มีธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการ Work from home

     • MercadoLibre – แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่และเติบโตเร็วที่สุดในละตินอเมริกา.

     • Teladoc - บริการด้านสุขภาพทางไกล หรือหาหมอผ่านทาง Internet ในทวีปอเมริกาเหนือ ปัจจุบันมีคนไข้ที่ใช้บริการนี้มากขึ้น เพราะไม่ต้องเดินทาง เพิ่มความสะดวกสบาย

     • Peloton – ขายอุปกรณ์ออกกำลังกาย (จักรยานและลู่วิ่ง) พร้อมเนื้อหาออนไลน์เพื่อให้ผู้คนได้ออกกำลังกายที่บ้านแทนการไปที่โรงยิม  

     นอกจากนี้ Baillie Gifford ยังได้มีมุมมองที่ดีต่อธีมการลงทุนนี้ โดยยังเชื่อมั่นในบริษัทที่ลงทุนในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่หยุดคัดสรรและมองหาบริษัทใหม่ๆ เพื่อจัดสรรสัดส่วนการลงทุนในการบริหารจัดการกองทุน และยังได้เปิดมุมมองต่อเทรนด์ Positive Impact Investing ในอีก 5 ปีข้างหน้าไว้ได้อย่างน่าสนใจ โดยเชื่อมั่นว่า

     • ธีม Healthcare and Inclusive Development – ที่จะมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เพราะการเปิดโอกาสให้คนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้อย่างเท่าเทียม จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต

     • ธีม Digital and Mobile Technology – การเพิ่มศักยภาพในการให้บริการที่จำเป็น อย่างเช่น ธนาคารที่สามารถทำให้ผู้ที่อยู่ห่างไกลเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เช่น การโอนเงินผ่านโทรศัพท์มือถือด้วย SMS 

     • ธีม Sustainable Food and Agriculture – นวัตกรรมช่วยให้การเกษตรมีประสิทธิภาพมากขึ้นผลผลิตเพิ่มขึ้น เช่น การใช้กล้องและข้อมูลเพื่อการใช้ยาและปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แปลงจากพืชเป็นเนื้อ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และทำลายธรรมชาติน้อยลง 

     • ธีม Energy Transition – การเปลี่ยนแปลงระบบพลังงานแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์ ลมและพลังน้ำ ซึ่งมีราคาถูกกว่า และทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล นอกจากนี้ การจัดเก็บพลังงานนี้จะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ

     KBank Private Banking เชื่อมั่นใน Positive Impact Investing เช่นเดียวกับ Baillie Gifford เพราะเชื่อว่าบริษัทเหล่านี้ล้วนมีความชอบธรรมในการลงทุน มีความสามารถในการสร้างผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืน สิ่งที่เป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนก็คือแม้ว่าวิกฤตโควิด 19 จะกระทบต่อผลการดำเนินงานของกองทุน K-CHANGE ในระยะแรก แต่สุดท้ายกสามารถพลิกผลตอบแทนกลับมาได้อย่างโดดเด่น 

     ตั้งแต่จัดตั้ง กองทุน K-CHANGE ให้ผลตอบแทนที่ 105% (ข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน 2021) และแม้จะมีการปรับตัวลงกว่า 16% ในช่วง 1 เดือนครึ่งที่ผ่านมา แต่คาดว่าความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้คนทั่วโลกที่ได้รับความสะดวกสบายจากการพึ่งพาเทคโนโลยี และความร่วมมือจากทั่วโลกเพื่อที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะส่งผลให้หุ้นกลุ่ม Growth กลับมาเติบโตอีกครั้ง และในระยะ 5 ปี คาดว่ากองทุน K-CHANGE จะสามารถกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีได้