"SIRI" ประกาศผลประกอบการปี 2563 รายได้สูงสุดในตลาดอสังหาริมทรัพย์ 34,707 ล้านบาท โตขึ้น 34% มียอดขายตามเป้าหมาย 35,000 ล้านบาท โตขึ้น 67% และยอดโอน 45,000 ล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อนถึง 45% เกินเป้าหมาย พร้อมรักษากำไรสุทธิฯ ที่ 1,673 ล้านบาท เผยผลจาก Cash Flow Strategy ดันสต็อคในมือน้อย มีสภาพคล่องในมือสูงกว่า 17,000 ลบ. อัตราหนี้สิน Gearing Ratio ลดลงจาก 1.82 อยู่ที่ 1.42 สะท้อนความแข็งแกร่งทางการเงิน

     วรางคณา อัครสถาพร ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า ปี 2563 ที่ผ่านมา เป็นปีที่แสนสิริต้องเผชิญกับอีกหนึ่งความท้าทายในการทำธุรกิจ ภายใต้สถานการณ์โควิด – 19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย นับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่เราสามารถผ่านมาได้อย่างแข็งแกร่งในรอบ 36 ปีเช่นเดียวกับวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ความแข็งแกร่งในธุรกิจของแสนสิริมาจากการมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานความไว้วางใจและเชื่อมั่นจากลูกค้าจนส่งผลให้เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้าน ส่งผลให้แสนสิริมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า ทั้งในด้านการขายและโอนโครงการ ด้วยยอดขายที่ทำได้ตามเป้าหมาย 35,000 ล้านบาท โตขึ้น 67% จากปีก่อน  สร้างผลงานปิดการขายโครงการที่อยู่อาศัยไปถึง 35 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 64,600 ล้านบาท สะท้อนการบริหารจัดการสต็อคที่อยู่อาศัยที่ดี ขายสินค้าสร้างเสร็จได้มาก นอกจากนี้ บริษัทยังมีผลงานการโอนที่โดดเด่นทั้งในแนวราบและแนวสูง โดยมียอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่สร้างเสร็จและส่งมอบให้กับลูกค้าไปถึง 45,000 ล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อนถึง 45% เกินเป้าหมายและสร้างประวัติศาสตร์การโอนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของแสนสิริที่เคยทำได้ ในรอบ 36 ปี

     “แสนสิริมีรายได้รวมในปี 2563 สูงสุดในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ด้วยตัวเลขรายได้ 34,707 ล้านบาท โตขึ้น 34% จากปีก่อน ที่มีรายได้ 25,859 ล้านบาท เติบโตจากรายได้จากการขายโครงการที่เพิ่มขึ้น 60% จาก 19,126 ล้านบาทในปี 2562 มาอยู่ที่ 30,559 ล้านบาทในปี 2563 โตสวนกระแส จากผลงานการโอนที่โดดเด่นในปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะไตรมาสที่ 2 ที่บันทึกการโอนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) ขณะที่ปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ 1,673 ล้านบาท จากการดำเนินธุรกิจด้วยการยืนหยัดการเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าให้ความเชื่อมั่นและความมุ่งมั่นที่จะทำให้ลูกค้ามีที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น อาทิ การคิดแคมเปญที่พัฒนาจาก Customer Insight ที่เข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง “แสนสิริผ่อนให้ 24 เดือน” ที่ช่วยให้ลูกค้าซื้อที่อยู่อาศัยและมีที่อยู่อาศัยได้ง่ายที่สุด ยังรวมถึงการดูแลลูกค้าอย่างดีที่สุด และเจตนารมย์ในการก้าวไปพร้อมสังคม ด้วยการกระตุ้นตลาด เพื่อสร้าง Multiplier Effect เพื่อให้ทุกธุรกิจ ทั้งการซื้อวัสดุก่อสร้าง สี อิฐ หิน ปูน ทราย เฟอร์นิเจอร์ เครื่องครัว หลอดไฟ สุขภัณฑ์ ฯลฯ เดินหน้าก้าวผ่านทุกสถานการณ์ไปด้วยกัน เพราะถ้าไม่มีการซื้อขายบ้าน ธุรกรรมหลายๆ อย่างก็จะหยุดชะงักตามไปด้วย”

     นอกจากนี้ ผลจาก Cash Flow Strategy ยังส่งผลให้แสนสิริเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งในด้านการเงิน จากการบริหารจัดการสต็อคที่อยู่อาศัยที่ดี สามารถบริหารจัดการให้มี Inventory หรือสินค้าพร้อมขาย ลดลงมาต่ำสุดอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท จากการขายสินค้าสร้างเสร็จได้มาก ทำให้มีเงินสดกลับมาในมือ (Cash is King) ลดอัตราหนี้สินและมีสภาพคล่องในมือ ณ ปัจจุบันกว่า 17,000 ล้านบาท Gearing Ratio ลดลงจาก 1.82 เท่า อยู่ที่ 1.42 เท่า สะท้อนความแข็งแกร่งทางการเงิน ที่เปรียบเสมือนภูมิคุ้มกันอย่างดีที่ช่วยให้แสนสิริหล่อเลี้ยงธุรกิจโดยไม่สะดุด ไม่ว่าสถานการณ์ใน ปี 2564 จะเป็นอย่างไร 

     “แสนสิริยังมียอดขายรอโอน (รวมโครงการร่วมทุน) รองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 3 ปี อีกถึง 28,300 ล้านบาท ขณะที่มี Secured Revenue ไปแล้วถึง 62% ของเป้ารายได้ที่ 24,400 ล้านบาท เสริมความแข็งแกร่งในทุกสภาวการณ์ สำหรับแผนธุรกิจในการเดินหน้า ปีแห่งความหวัง (The Year of Hope) แสนสิริจะเปิดตัว “BuGaan” (บูก้าน) เอ็กคลูซีฟ เรสซิเดนท์ 3 ชั้น แบรนด์ใหม่ใน Sansiri Luxury Collection ที่เล่านิยามความลักซ์ชัวรี่ในแบบใหม่กับแนวคิด“My Home Speaks for Myself” บ้านที่บ่งบอกความเป็นตัวตน ความชอบและสไตล์ที่แตกต่างไม่เหมือนใคร กับดีไซน์การออกแบบในสไตล์ Modern Luxury Living ใส่ใจในทุกรายละเอียดกับสเปซและฟังก์ชัน รองรับไลฟ์สไตล์ยุคปัจจุบันที่หลากหลายอย่างเหนือระดับ พร้อมส่วนกลางแบบส่วนตัว สระว่ายน้ำ Freshwater Swimming Pool และลิฟท์ส่วนตัวภายในบ้าน เน้นออกแบบบ้านให้มีความเป็น Private Residence สูงสุด กับทำเลที่หาไม่ได้อีกแล้วใจกลางเมือง แห่งแรกบนโยธินพัฒนา ลิมิเต็ดเพียง 14 ครอบครัว ราคา 30-80 ล้านบาท เตรียมเปิดการขายในเดือนพฤษภาคมนี้”