"บลจ.ทิสโก้" เดินหน้าเพิ่มทุนกองทุนเปิดทิสโก้ โกบอล ดิจิตอล เฮลธ์ อิควิตี้ เป็น 3,000 ล้านบาทรับความต้องการลูกค้าที่สนใจเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง จากกระแสเมกะเทรนด์และผลประกอบการบริษัทที่ลงทุนเติบโตอย่างโดดเด่นแนะลูกค้าลงทุนระยะยาวเพื่อเพิมโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี 

     สาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า แม้ว่าภาพรวมการลงทุนในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2563 สินทรัพย์การลงทุนทุกชนิดจะเกิดความผันผวน และตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลงแรง แต่จะเห็นได้ว่าผลประกอบการหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีรวมถึงหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางสินทรัพย์อื่นอย่างเห็นได้ชัดส่วนหนึ่งเพราะได้รับผลบวกระยะสั้นจากการแพร่ระบาดของ COVID -19 ที่ผู้คนใช้เทคโนโลยีมาช่วยอำนวยความสะดวกในช่วงรักษาระยะห่างระหว่างสังคมรวมถึงกระแสรักสุขภาพที่มาแรงในช่วงนี้ และในระยะยาวหุ้นทั้งสองกลุ่มจัดว่าเป็น‘หุ้นเมกะเทรนด์’ ที่รายได้และกำไรมีโอกาสเติบโตได้ดีตามความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น 

     จากปัจจัยบวกดังกล่าวส่งผลบวกต่อกองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล ดิจิตอล เฮลธ์ อิควิตี้ (TGHDIGI) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) เนื่องจากกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในบริษัทที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการแพทย์ (Digital Health) ทั่วโลก ซึ่งถือเป็นการผนวกการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและเฮลธ์แคร์ไว้ด้วยกันในกองทุนเดียวโดยที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อตอบรับความต้องการ และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้า บลจ.ทิสโก้จึงได้ขยายมูลค่าโครงการกองทุน TGHDIGI จากเดิม 2,000 ล้านบาท เป็น 3,000 ล้านบาท โดยนักลงทุนสามารถซื้อหน่วยลงทุน กองทุน TGHDIGI ได้ในทุกวันทำการ มูลค่าลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท

     “ในช่วงที่ผ่านมาผลประกอบการบริษัทในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นเพราะได้รับปัจจัยบวกระยะสั้นในช่วงไวรัส COVID -19 แพร่ระบาด อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวหุ้นทั้งสองกลุ่มมีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะจัดว่าเป็นหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ดาวรุ่งที่คาดว่าได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของวิถีชีวิตเศรษฐกิจ และสังคมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น การลงทุนในระยะยาวในหุ้นกลุ่มนี้จะเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนระยะสั้น อีกทั้งการลงทุนในระยะยาวยังช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้ส่วนนักลงทุนที่ต้องการซื้อและขายทำกำไรระยะสั้นในหุ้นกลุ่มดังกล่าวก็สามารถทำได้แต่แนะนำให้กันส่วนหนึ่งไว้สำหรับลงทุนระยะยาวเพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการลงทุน”

     สำหรับตัวอย่างบริษัทที่อยู่ในกลุ่มดิจิตอลเฮลธ์ที่มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น เช่น บริษัท Teladoc ผู้พัฒนาแพลทฟอร์มให้คนไข้สามารถพบแพทย์ผ่านระบบออนไลน์และรับใบสั่งยาจากแพทย์เพื่อนำไปซื้อยาต่อได้ทันที พบว่าในช่วงที่มี COVID- 19 จำนวนผู้ใช้บริการปรึกษาแพทย์อยู่ที่ 2.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 203% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน(YOY) ก่อนขณะที่รายได้ไตรมาสที่ 2/2563 ทำได้ 241 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 85.1% YOY (ข้อมูลจาก https://teladochealth.com/.Bloomberg วันที่ 1 ก.ค. 63) 

     อีกบริษัทคือ บริษัท Dexcom ผู้พัฒนาผลิตและจัดจำหน่ายระบบตรวจสอบน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานแบบไม่ต้องเจาะเลือดในไตรมาสที่ 1/2563 มีรายได้ 451 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโต 34% YOY และกำไรต่อหุ้นเติบโตถึง 500% YOY  ซึ่งในปี 2564 คาดว่าจะออกเครื่องรุ่นใหม่ที่มีขนาดเล็กและมีฟีเจอร์มากขึ้น(ข้อมูลจาก https://investors.dexcom.com/.Bloomberg วันที่ 28 ก.ค. 63)  

     กองทุน TGHDIGI ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมจึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก และอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในต่างประเทศจึงมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนรวมซึ่งปัจจุบันผู้จัดการกองทุนดำเนินการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินประมาณ 90% ผู้สนใจลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้าเงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน