'บลจ.กสิกรไทย' เผยทิศทางตลาดหุ้นไทยปีนี้คาดว่าปรับตัวดีขึ้น หลังจากมีการปรับลดลงค่อนข้างมากในปีก่อนหน้าโดยมีแรงหนุนจากการลงทุนโครงการภาครัฐหากการเลือกตั้งเป็นไปอย่างราบรื่น มองเป้า SET Index ปลายปีที่ 1,750 จุด ย้ำธีมลงทุนในหุ้นใหญ่ ผันผวนต่ำ ยังเหมาะสมกับภาวะตลาดในปีนี้

     ธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 2562 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้า ด้วยปัจจัยบวกภายในประเทศอย่างโครงการลงทุนภาครัฐ นำโดยโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในขณะที่ปัจจัยภายนอกยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง ทั้งประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน เรื่อง Brexit และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตามยังต้องจับตามองการเลือกตั้งของประเทศไทยที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม 2562 ซึ่งถ้าหากการจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปอย่างราบรื่นจะช่วยดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ เนื่องจากความมีเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นสิ่งสำคัญในมุมมองของนักลงทุน

     อย่างไรก็ดี บลจ.กสิกรไทย ยังคงมุมมองเป็นบวกสำหรับภาพการลงทุนระยะกลางถึงยาว จากแรงหนุนที่มาจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเติบโตดี โดยคาดว่าในปี 2562 GDP จะมีอัตราการเติบโตในระดับ 4% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่คาดว่าจะอยู่ 4.2% เนื่องจากภาคส่งออกที่เคยเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และการแข็งค่าของค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ ส่วนภาคการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ลดลง นอกจากนี้รายได้ภาคเกษตรกรรมยังคงไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัว โดยราคาปาล์มและยางพาราเฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำในรอบหลายปี อย่างไรก็ตามยังหวังว่าโครงการการลงทุนและมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐและเอกชนจะมาเป็นช่วยสนับสนุนได้

     ทั้งนี้มองเป้าหมาย SET Index ปลายปี 2562 ที่ 1,750 จุด บนสมมติฐานการคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ปี 2562 ที่ 6% โดยปรับลงจากก่อนหน้านี้ที่คาดไว้ 8% เนื่องจากการปรับลดระดับราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีลงมาที่ 60 เหรียญต่อบาร์เรล จากที่เคยคาดไว้ที่ 70 เหรียญต่อบาร์เรล มองว่าระดับดัชนีในระดับต่ำกว่า 1,600 จุด เป็นระดับที่น่าสนใจเข้าลงทุนสำหรับระยะกลางถึงยาว เนื่องจากสะท้อน Valuation ที่ P/E ปี 2562 ที่ 13.8 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง รวมถึง ระดับ Dividend Yield ที่ ประมาณ 3.5% น่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดได้

     “จากมุมมองที่ยังคงเป็นบวกในตลาดหุ้นไทยดังกล่าว บลจ. กสิกรไทยมีคำแนะนำสำหรับผู้ที่มีการลงทุนในกองทุน LTF ซึ่งครบกำหนดอายุในปีนี้ และยังไม่มีแผนการใช้เงิน ประกอบกับมีเป้าหมายเพื่อการลงทุนระยะยาว ยังสามารถถือกองทุน LTF ต่อไปได้ เนื่องจากวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการลงทุนใน LTF นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ทางภาษี คือการสร้างโอกาสทำกำไรจากการลงทุน และต่อยอดเงินลงทุนให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา การลงทุนในตลาดหุ้น (SET Index) ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หากท่านลงทุนระยะยาวมากกว่า 5 ปีขึ้นไป ท่านจะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 9 – 10% ต่อปี ส่วนผู้ที่ต้องการขายคืนหน่วยลงทุน LTF เพื่อนำเงินกลับมาลงทุนต่อ อาจต้องพิจารณาเพิ่มเติมว่าผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนมีความเหมาะสมตามเป้าหมายการลงทุนแล้วหรือไม่ ทั้งนี้ในปี 2562 นี้ จะเป็นปีสุดท้ายสำหรับการลงทุนในกองทุน LTF เพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี บลจ.กสิกรไทยจึงแนะนำให้วางแผนการลงทุนตั้งแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะช่วงต้นปีที่ราคาหุ้นยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ หรือสามารถทยอยสะสมการลงทุนในระหว่างปีในจังหวะที่หุ้นปรับตัวย่อลงได้”

     สำหรับผู้ลงทุนที่มีความจำเป็นต้องขายคืนหน่วยลงทุนแต่อยู่ในระหว่างการพิจารณารอใช้จ่ายหรือรอจังหวะลงทุนเพิ่มเติมในปีนี้ หากรับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำถึงปานกลาง แนะนำให้มาพักเงินกับกองทุนประเภทตลาดเงินหรือตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝาก ซึ่งกองทุนที่ทางบลจ.กสิกรไทย แนะนำ ได้แก่ กองทุน K-SFPLUS และกองทุน K-PLAN1 ส่วนผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง อาจเลือกกระจายลงทุนในกองทุนผสม ได้แก่ กองทุน K-PLAN2 และ K-PLAN3 สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในกองทุน LTF บลจ.กสิกรไทย ยังคงแนะนำธีมการลงทุนในหุ้นใหญ่ ผันผวนต่ำ ซึ่งเหมาะกับสภาวะตลาดผันผวนเช่นนี้ โดยแนะนำกองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล (KDLTF) ที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอต่อเนื่อง 11 ปี มากถึง 17 ครั้ง รวมเป็นเงิน 8.22 บาทต่อหน่วย ถือเป็นกองทุนที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงสุด เมื่อเทียบกับ LTF อื่นๆ ของบลจ.กสิกรไทย และมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี กระจายการลงทุนในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อสอดรับการเปลี่ยนแปลงและสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด โดยมีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุนมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด